“คุณจะอยู่ในใจของเราตลอดไป...ไดจิโร่ กาโตะ”
7 เมษายน 2003 หรือเมื่อ 16 ปีที่แล้ว น่าจะเป็นช่วงเวลาของการฉลองครบรอบอายุ 26 ปี และโอกาสในการลงแข่งขันรายการโมโต จีพีแบบเต็มคราบ วันสำคัญแบบนี้หลายๆ คนอาจจะอยู่ในงานเลี้ยงกับครอบครัว แต่สำหรับเค้า...ไดจิโร่ กาโตะ สุดยอดดาวโรจน์ความหวังของญี่ปุ่นในตอนนั้น กลับอยู่ในห้อง ICU โดยที่ร่างกายไม่ได้ตอบสนองต่อการรักษาแม้แต่น้อยและอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วย ชีวิตของแพทย์ โดยมีโอกาสกลับมาหายใจได้อีกครั้งมีโอกาสไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลย....
สุดท้ายกาโตะ เค้าก็ไม่ได้กลับบ้านอีกตั้งแต่วันนั้น...!!!!
เตรียมใจไว้เลยท่านทั้งหลาย...วันนี้อีตาลุงคนเดิมอาจจะขอสะดุ้งนิ้วในท่วง ทำนองเศร้าโศกไปไม่หน่อย เมื่อเผลอนับจำนวนของแม่นางทั้งสิบแล้วก็คลับคล้ายคลับคลาว่ามันครบรอบอะไร ซักอย่าง สาวกสองล้อระดับ 30 อัพอาจจะจำเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้ได้ดี ซึ่งวันนั้นตัวลุงเองยังทำงานอาชีพพ่อแม่จ้างไปเรียนอยู่อย่างเคร่งครัด และแน่นอน ในตอนวินาทีนั้นต้องผงกหัวยอมรับโดยไม่สามารถปฎิเสษได้ว่าว่าเกมส์สองล้อโลก ในนามเวิลด์จีพี มันครองทุกพื้นที่หัวใจไม่เว้นแม้แต่เศษอณูเนื้อในหัวอกเหี่ยวๆ ของลุง
ไดจิโร่ กาโตะ แจ้งเกิดในการแข่งขันอย่างเต็มตัวด้วยการคว้าแชมป์โลก WGP 250 ฤดูกาล 2001
ไดอิจิโร่ กาโตะ หรือ ไดจิโร่ กาโตะ สุดยอดดาวโรจน์ชาวญี่ปุ่นในตอนนั้น ที่ระเบิดผลงานคว้าแชมป์โลกในคลาสมิดเดิลเวทอย่าง 250 ซีซีมาแบบเด็ดขาดแล้ว ถีบตัวเองขึ้มาในคลาส 500 ซีซี ก่อนที่จะคว้าอันดับที่ 7 ในเวิลด์ แรงกิงค์ได้ด้วยตัวแข่งเอ็นเอสอาร์ 500 ภายในสงคราม 4 จังหวะระดับ 1000 ซีซี(ย้ำอีกครั้งว่า กาโตะใช้รถ 500 ซีซีแข่งกับตัวแข่งโมโตจีพีของทีมโรงงานหลายๆ ลำและเอาชนะมาได้) และเพียงไม่ถึงเต็มฤดูกาลดีเจ้าตัวก็ได้โอกาสทองฝังเพรชด้วยการควบตัวแข่ง ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตองอูอย่างเจ้า ฮอนด้า RC211V ลงแข่งขัน และกาโตะเองก็ตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานระดับอ๋อง พร้อมกับคว้ารางวัลรุกกี้ ออฟ เดอะเยียร์ มาเชยชม
ไดจิโร่ กาโตะ กับฮอนด้า เอ็นเอสอาร์ 500 ลงต่อสู้ในสงคราม 4 จังหวะกับรถโมโต จีพี
ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และได้โอกาสลงสนามด้วย Honda RC211v
2003 กาโตะฉีกยิ้มด้วยสังกัดใหม่ระดับเอ็กซ์เอ็กซ์แอล กับฮอนด้า เทเลโฟนิกา มูฟวี่สตาร์ ที่กุมบังเหียนโดนกุนซืออย่างฟรุตโต้ เกรสซินี่ อดีตนักแข่ง 500 ซีซีที่ผันตัวเองมาเป็นผูจัดการทีม มีทีมเมทอย่างเซเต้ จิเบอร์นาวมือเก๋าอีกคนในเกมส์โมโต จีพี ผลที่ที่นักบิดเมืองโดเรม่อนคนนี้ขีดเขียนเอาไว้ พร้อมกับการพุ่งขึ้นมาอย่างแรงสุดขีดกาโตะแบกความหวังเอาไว้เต็มบ่า และกาโตะถูกคาดการว่าน่าจะเป็นความหวังหนึ่งเดียวของลูกหลานโบชิโดในการก้าว ถึงตำแหน่งสูงสุดที่อ่านออกเสียงว่า “แชมป์โลกโมโต จีพี”
6 เมษายน 2003 ในวันแข่งขัน ครอบครัวของกาโตะ ภรรยาและลูกๆ อีกสองคน รวมทั้งชาวญี่ปุ่นทั้งชาติเกาะขอบสนามในการแข่งขันที่ซูซูกะ เพื่อส่งแรงใจไปยังตัวแทนของพวกเค้าในการเก็บผลงานได้บ้านให้ได้อย่างสุดยอด ให้ได้ในการแข่งขันนัดเปิดฤดูกาล โดยที่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่า หลังจากที่กาโตะหันหลังให้และขึ้นไปขับมอเตอร์ไซค์ที่เค้ารักมาตลอดชีวิต วิ่งออกจากพิท นั่นคือวินาทีสุดท้ายที่ทุกคนที่รักเค้าได้เห็นกาโตะในสภาพเต็มร้อย และรอยยิ้มก่อนที่จะสวมหมวกกันน็อควันนั้น คือรอยยิ้มสุดท้ายในชีวิตของกาโตะ !!!
ทีมเมทของกาโตะในตอนนั้นอย่างเซเต้ จิเบอร์นาว ที่รถแข่งเกิดปัญหาต้องวิ่งเข้าพิท และออกมาสู่แทร็คในอันดับที่ตามหลังกาโตะอยู่พอดี เป็นคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ เมื่อจุดที่เกิดเหตุนั้น โดยที่ไม่มีกล้องตัวใหนจับภาพได้เลยกล่าวว่า
“....ขณะนั้นผมออกมาจากพิท และพบว่ากำลังตามหลังกาโตะอยู่พอดี ก่อนที่จะเข้าโค้งรถของผมวิ่งมาด้วยความเร็วเหยียบ 250 กม/ชม. มันเป็นโค้งเอส นักแข่งทุกคนต้องโยกขวา ดึงกลับมาซ้าย และพับรถเข้าขวาอีกที แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ กาโตะพยายามที่จะดึงรถ และพุ่งเข้าชนกับกำแพงด้วยความเร็วมากกว่าที่ผมบอก ”
ภาพรถที่กระจายออกไปสร้างความตกใจอย่างมาก และแพทย์ผู้รักษาในขณะนั้นเปิดเผยว่า กาโตะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงสมองบวม หัว คอ หน้าอก กระดูกของเค้าหักจนแทบนับไม่ถ้วน และที่สำคัญก็คือ กาโตะไม่หายใจ และหัวใจแทบจะหยุดเต้นไปแล้ว ....!!!
ช็อคกันทั้งสนามและโลกสองล้อ กับอุบัติเหตุอย่างรุนแรงของกาโตะ
70 กว่าชั่วโมงกับการต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดของกาโตะ เพื่อกลับมาเจอหน้ากับคนที่เค้ารัก มอเตอร์ไซค์ที่เค้ารัก และมาสานต่อสิ่งที่ค้ำค้างคาไว้ให้สำเร็จ คงเต็มไปด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัสจนไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาเป็นตัว หนังสือได้ แต่สิ่งที่ซ้ำเติมผู้ที่คอยเป็นกำลังใจให้เค้าก็คือ แพทย์เปิดเผยว่า ต่อให้โชคเข้าข้างแบบสุดๆ ก็ตาม กาโตะรอดชีวิตจากเหตุกาณ์ครั้งนี้ได้ แต่....
เค้าอาจะเป็นอัมพาติตั้งแต่ลำคอลงไป และอยู่อย่างเจ้าชายนิทรา โดยไม่รับรู้อะไรอีกเลย...!!!
“......ผมไม่สามารถพูดอะไรได้เลย โลกทั้งโลกมันว่างเปล่า ผมรู้และบอกกับตัวเองว่า ผมต้องเผชิญหน้ากับความจริงให้ได้ อนาคตของทีม ครอบครัวของเค้ามันเต็มไปด้วยช่องว่างขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำตอนนี้คือเดินทางไปที่บ้านของเค้า และบอกลาไดจิโร่เป็นครั้งสุดท้าย”
คำพูดเปื้อนน้ำตาของฟรุตโต้ เกรสซินี่ ผู้จัดารทีมฮอนด้า เทเลโฟนิกา มูฟวี่ตาร์ในตอนนั้น หลังจากที่ฝ่าฟันร่วมงานกับการโตะมาตั้งแต่ปี 2000 และร่วมกันคว้าแชมป์โลกคลาส 250 ซีซีหล่นเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ยากจะบรรยายได้(ฟรุตโต เกรสซินี่ที่เคยร่วมงานกับรัฐภาคย์ วิไรโรจน์, ฐิติพงษ์ วโรกรในโมโต 2 และเป็นเจ้าของทีมที่สูญเสียมาโก ซิมอลเคลลี่ไป)
หมายเลข 74 ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวของกาโตะ ถูกติดตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่เค้าบนรถแข่งแทบทุกคันในตอนนั้น และผลงานของทีมเมทอย่างเซเต้ จิเบอร์นาวก็ทะลุปล้องขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อคลับคล้ายคลับครากับว่ามี พลังงานบางอย่างคอยหนุนหลังอยู่ และจิเบอนาวก็ต่อสู้กับรอสซี่ได้อย่างสูสีจนถึงขั้นมีลุ้นแชมป์โลกเลยที เดียว
ทุกๆ ครั้งที่จิเบอร์นาวคว้าชัยในการแข่งขันได้ จะชูนิ้ขึ้นฟ้า และบ่นพรึมพรำคล้ายๆ ขอบคุณและมอบชัยชนะนี้ให้กับคนที่เฝ้ามองอยู่เบื้องบน !!!
เซเต้ จิเบอนิว เพื่อนร่วมทีมของกาโตะในปีนั้น มอบทุกชัยชนะในสนามให้ทีมเมทผู้จากไป
ตลอดเส้นทางมาถึงบรรทัดนี้ 11 ปีเต็ม หากลูกทั้งสองของกาโตะไม่ใช่ผู้หญิง คงได้เห็นการเดินตามร้อยเท้ามาสะสางงานของผู้เป็นพ่อให้แล้วเสร็จ อย่างไรก็ดี อารมณ์ที่เป็นมิตร ความยิ้มแย้ม และการขับขี่ที่เรียบร้อยประหนึ่งนั่งพับเพียบในสนาม กาโตะครองใจแฟนสองล้อทั่วโลก เค้าอาจจะไม่ใช่ตัวเอ้ตัวเต็งอย่าวาเลนติโน่ รอสซี่ อาจจะไม่พกดีกรีเหมือนน้าแม็กซ์ แต่ในแบบเอเชียที่สัมผัสได้ในตอนนั้น กาโตะคือคำตอบที่จะหาใครซักคนในนามนักบิดหัวดำไปต่อสู้ฟาดฟันกับฝรั่งตาน้ำ ข้าว
เลยสิบปีที่ผ่านมา ดอกไม้ที่วางไว้อาลัยอาจจะเริ่มห่างออกไปและเหี่ยวเฉาจนกลายเป็นฝุ่นผง ชื่อของเค้าอาจจะวนเวียนมานับครั้งได้และเริ่มไม่มีใครพูดถึง อย่างไรก็ตาม ด้วยใจที่ลุ่มหลงในสองล้อติดเครื่อง คงไม่มีใครเข้าใจคนบ้ามอเตอร์ไซค์ดีกว่าคนที่บ้ามอเตอร์ไซค์ด้วยกัน ด้วยทุกๆ สิ่งที่คุณทุ่มเทให้กับโลกสองล้อจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และเชื่อว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณเองก็เฝ้ามองสิ่งที่คุณรักอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถบอกอะไรเราได้แล้ว แต่เราก็อยากจะบอกคุณครับว่า....
“คุณจะอยู่ในใจของเราตลอดไป...ไดจิโร่ กาโตะ”